โบท็อก ยี่ห้อไหนดี ? นั่นน่ะสิคะ เชื่อว่าหลาย ๆ คน ก็คงจะสงสัยในเรื่องนี้เช่นเดียวกันกับเรา เพราะก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าโบท็อกนั้นมีหลายยี่ห้อและแต่ละยี่ห้อก็จะมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโบท็อกของ อเมริกา , เกาหลี , เยอรมัน , และอังกฤษ แล้วแต่ละยี่ห้อในแต่ละประเทศนั้นมีชันมีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วจะมีวิธีในการเลือกอย่างไร จึงจำได้ฉีดโบท็อกที่มีคุณภาพ ในราคาที่คุ้มค่า วันนี้บทความของเราก็มีวิธีการเลือก โบท็อก ยี่ห้อไหนดี มาฝากค่ะ
โบท็อก ยี่ห้อไหนดี โพสต์นี้มีมาบอก
โบท็อก คือ สารชนิดหนึ่งที่ฉีดเข้าสู่ผิงเพื่อเข้าไปช่วยในการคลายตัวของกล้ามเนื้อทำให้ผิวบริเวณที่มีความเหี่ยวย่นหรือหดตัวนั้นเกิดการคลายตัว จึงสามารถลดปัญหาของการเหี่ยวย่นของใบหน้า ปัญหาริ้วรอย ให้กลับมาดูเต่งตึง อ่อนเยาว์เหมือนกลับไปเป็นสาวอีกครั้งได้ง่าย ๆ นั่นเอง แต่ปัญหาก็อยู่ที่ว่าเราจะเลือกโบท็อกนั่นแหละค่ะ เพราะฉะนั้นเรามาดูกันเลยว่าโบท็อกแต่ละยี่ห้อนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร และมีข้อดีอย่างไรบ้าง
1. Allergan
Allergan เป็นโบท็อกจากประเทศอเมริกา ที่หลาย ๆ คลินิกนั้นใช้กัน เนื่องจากเป็นโบท็อกที่มีการรับรองการวิจัยมาอย่างยาวนานที่สุดเลยค่ะ โดยผ่านการวิจัยมากว่า 3,500 งานวิจัย จึงเป็นโบท็อกที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด ดังนั้นในเรื่องของการรักษาจึงเรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น ๆ นั่นเอง แต่ข้อเสียของการฉีดโดบท็อกตัวนี้ที่เห็นได้ชัดเลยคือ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโดยตรง เนื่องจากปัญหาที่พบคือปัญหาคิ้วกระดกและหน้าแข็ง ดังนั้นจึงควรเลือกคลินิกในการรักษาให้ดี
สัญชาติ : อเมริกา
ราคา : 100 Unit 16,000 บาท
2. Dysport
Dysport โบท็อกสัญชาติอังกฤษ ที่จะมีส่วนช่วยในการลดโปรตีนในส่วนที่ 1 พัฒนาโปรตีนในส่วนที่ 2 และทำให้อาการดื้อยานั้นน้อยลง ส่งผลให้การออกฤทธิ์ของส่วนที่ 3 นั้น ทำงานได้อย่างดียิ่งขึ้น ซึ่งความโดดเด่นของโบท็อกรุ่นนี้ที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ จะทำให้การกระจายตัวของโบท็อกนั้นสามารถกระจายได้ทั่วใบหน้าไม่อยู่เป็นกระจุกแคบ ๆ เหมาะสำหรับการฉีดเพื่อยกกระชับหน้า และลดเหงื่อพร้อมกับต้นแขนต้นขา
สัญชาติ : อังกฤษ
ราคา : 300 Unit 13,000 บาท
3. Xeomin
Xeomin เป็นโบท็อกที่รวมเอา Allergan และ Dysport มาพัฒนารวมเข้าด้วยกัน ซึ่งก็จะได้คุณภาพของโบท็อกที่อยู่ในกึ่งกลางระหว่างสองยี่ห้อนี้ ส่งผลให้การกระจายตัวของโบท็อกไม่กระจายตัวแคบเกินไป อีกทั้งยังมีราคาเท่ากับ Allergan เมื่อใช้โบท็อกยี่ห้อนี้แล้วจะให้ความรู้สึกที่ดูเป็นธรรมชาติและไม่ตึงจนเกินไป
สัญชาติ : เยอรมัน
ราคา : 100 Unit 16,000 บาท
4. Nabota
Nabota เป็นโบท็อกสัญชาติเกาหลี ที่เป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่ได้รับมาตรฐาน อย. อเมริกา U.S.FDA approved (2018) ซึ่งเป็นรุ่นที่เหมาะกับคนที่อยากโบท็อกแบบเร่งด่วน เพราะมีการออกฤทธิ์ไวกว่าโบท็อกสัญชาติเกาหลียี่ห้ออื่น
สัญชาติ : เกาหลี
ราคา : 100 Unit 9,000 บาท
5. Botulax
Botulax เป็นโบท็อกสัญชาติเกาหลีที่ถูกพัฒนาให้มีความเหมือนกับ Allergan แต่ในเรื่องของราคานั้นก็จะถูกกว่ามากพอสมควร อีกทั้งในเรื่องของการออกฤทธิ์ก็จะออกไวกว่า เพียงแต่ระยะเวลาของโบท็อกนั้นจะมีระยะเวลาที่สั้นกว่า โดยส่วนใหญ่พบว่ามักจะใช้โบท็อกตัวนี้ในการช่วยลดรอย เพื่อให้กรอบหน้ามีความคมชัดมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้หน้าดูเล็กลงอีกด้วย
สัญชาติ : เกาหลี
ราคา : 100 Unit 9,000 บาท
6. Aestox
Aestox เรียกได้ว่าโบท็อกตัวนี้เป็นโบท็อกที่เพิ่งเริ่มเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยค่ะ อีกทั้งยังได้รับ อย. แล้วด้วย ว่าเป็นโบท็อกที่มีความบริสุทธิ์ถึง 99.5% จึงมีความปลอดภัยและสามารถใช้ในการฉีดได้ดี
สัญชาติ : เกาหลี
ราคา : 100 Unit 9,000 บาท
อย่างไรก็ตามการฉีด โบท็อก ยี่ห้อไหนดี นั้นก็ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ เพราะบอกเลยว่าโบท็อกแต่ละยี่ห้อนั้นก็มีผลในการใช้งานที่แตกต่างกัน รวมถึงโบท็อกแต่ละยี่ห้อก็ยังมีความสามารถในการรักษาที่แตกต่างกันอีกเช่นกันด้วย ดังนั้นการศึกษาข้อมูลก่อนทำการฉีดหรือการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเป็นอันดับแรกจึงถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำมากที่สุดนั่นเองค่ะ เพื่อไม่ให้เกิดการผิดพลาดหรือเกิดอันตรายหลังการทำนั่นเอง
การฉีดสารใด ๆ เข้าสู่ผิว แน่นอนค่ะว่าจะต้องมีอันตรายอยู่แล้ว เพียงแต่จะเล็กหรือน้อยนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การฉีดโบท็อกเองก็เช่นกัน เพราะเป็นการนำสารเข้าสู่ร่างกายนั่นเอง แต่หากมองในแง่ดีมันก็เป็นวิธีการดูแลตัวเองวิธีหนึ่งที่จะทำให้เรานั้นดูดี เป็นคนที่รักตัวเองนั่นเอง ซึ่งค่ารักษาในการฉีดโบท็อกก็มีราคาที่ค่อนข้างสูงอยู่พอสมควร อีกทั้งยังต้องทำหลาย ๆ ครั้ง จึงจะเห็นผลอีกด้วย ดังนั้นหากใครที่กำลังมีแพลนอยากฉีดโบท็อกแล้วล่ะก็ เตรียมศึกษาข้อมูล ปรึกษาแพทย์และเตรียมค่าใช้จ่ายในการรักษาไว้ด้วยนะคะ
Credit : Konvy
อ่านบทความ โบท็อก คืออะไร อันตรายไหม ที่นี่มีคำตอบ